สรุป The subtle art of not giving a F*ck

Introduction

  • The subtle art of not giving a F*ck เป็นหนังสือที่เจอคนอ่านบนไฟล์ทเยอะมากกกกกกกกก ตั้งแต่ผู้โดยสารอีวายยันผู้โดยสารบีซี (อะไรจะฮอตขนาดนั้น) ไม่คิดว่าตัวเองจะอ่านจบ (เพราะเนื้อหามันเยอะกว่าทุกเล่มที่ผ่านมา) แต่สุดท้ายก็อ่านจบจนได้ วันนี้เลยหยิบเอาสรุปที่เคยเขียนไว้ มาเล่าให้ทุกคนฟังกันค่ะ

  • ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ คือ การให้แง่มุมชีวิตที่แตกต่างจากหนังสือ How to ทั่วไปที่สอนให้ใช้ชีวิตด้วยการคิดบวกและพยายามรักษาความรู้สึกดีๆ ให้อยู่กับตัวเองตลอดเวลา

  • หนังสือหลายเล่มสอนให้เราคอยบอกตัวเองว่า เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนสวย เราต้องทำได้(คุ้นๆมั้ย) Mark บอกว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เราพยายามสะกดจิตตัวเอง ให้เชื่อว่าเราเป็นแบบนั้น คือสิ่งที่เรา
    ”กำลังขาด” อยู่นั่นเอง

  • การที่เราส่องกระจกตอนเช้าแล้วบอกตัวเองว่า เราสวย นั่นแสดงว่าลึกๆ เรารู้สึกว่าเราไม่สวย คนที่เค้าสวย เค้าไม่มานั่งบอกตัวเองหรอกว่าเค้าสวย เพราะเค้ารู้ว่าเค้าเป็นคนหน้าตาดีไง

อยากมีความสุขต้องรู้จัก “ช่างแม่ง”

  • หลายๆ คนคงเคยรู้สึกประหม่าเวลาที่ต้องออกไปพรีเซ้นงานหน้าห้องประชุม พอรู้ตัวว่า กำลังรู้สึกแบบนั้น ก็รู้สึกกระวนกระวายใจที่ ตัวเองกำลังรู้สึกประหม่า ความกระวนกระวายใจดังกล่าว ยิ่งทำให้รู้สึกประหม่าหนักขึ้นไปอีก วนทับซ้อนไปเรื่อยๆ Mark เรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “วงจรอุบาททางความคิด”

  • ระบบความคิดแบบนี้เป็นความสามารถพิเศษของสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิดในโลก ที่สามารถจะ คิดซ้อนความคิดของตัวเองได้ Mark บอกว่าวิธีการที่จะทำให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาททางความคิดได้ ก็คือ การ “ช่างแม่ง” ไปซะ

  • คนบางคนสามารถที่จะหงุดหงิดอารมณ์เสียได้กับทุกๆเรื่องที่เค้าเจอบนโลก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแค่พนักงานในร้านอาหารมาเสิร์ฟอาหารช้าก็หงุดหงิดหัวร้อน เรียกผู้จัดการร้าน! คนที่มักจะหัวร้อนกับอะไรได้ง่ายๆ แบบนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะเค้าไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเค้า

  • เปรียบเหมือนเด็กๆ ที่ในช่วงชีวิตวัยเยาว์ทุกสิ่งที่เค้าได้เจอมันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเค้าเสมอ เด็กๆ จึงให้ความสำคัญไปกับทุกเรื่อง กังวลว่าเพื่อนคนนั้นจะคิดกับเรายังไง กังวลว่าถ้าไลน์ไปหารุ่นพี่คนนั้นแล้วเค้าจะตอบเรามั้ย กังวลว่าใส่เสื้อสีนี้กับกางเกงสีนี้แล้วมันจะเข้ากันมั้ย แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อเด็กๆเหล่านี้โตขึ้น (พร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น) เค้าจะเริ่มรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปให้พลังงาน หรือให้ความสนใจกับมันมากนัก

  • สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า “การมีวุฒิภาวะหรือการเป็นผู้ใหญ่” ประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เรารู้ว่าสิ่งไหนสำคัญและเราควรจะใส่ใจ สิ่งไหนที่ไม่สำคัญและเราไม่ควรจะไปให้ค่ากับมัน หรือพูดง่ายๆก็คือการช่างแม่งนั่นเอง

ปัญหาทำให้เราเติบโต

  • ถ้าพูดถึงความทุกข์ หรือปัญหา เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครอยากเจอหรอก ทุกคนอยากมีความสุขตลอดเวลา (มันเป็นไปได้หรอ) เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่าโลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา เราแก้ปัญหานึงได้เดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่ตามมา

  • ตอนโสดรู้สึกเหงา ก็อยากมีแฟน พอมีแฟน ก็มีปัญหาทะเลาะกับแฟน จุกจิกนู่นนี่ได้สารพัด Mark แนะนำว่าเราไม่ควรตั้งเป้าในใจว่า ชีวิตนี้ขอให้ไม่เจอกับปัญหาหรือความทุกข์เลย มันเป็นไปไม่ได้ แถมยังจะทำให้เราเป็นทุกข์ไปมากกว่าเดิมเพราะ ”ผิดหวัง” ที่ชีวิตมันไม่ได้เป็นอย่างที่ ”คาดหวัง” ยังไงหล่ะ

  • ตอนเด็กๆ เราคงเคยเอามือไปจับกาน้ำต้มเดือดร้อนๆ จนทำให้มือพอง เราจึงเรียนรู้ว่าครั้งหน้า อย่าไปจับมันอีก ถ้าลองพิจารณาให้ดี จะพบว่า ปัญหามันช่วยสอนให้เราโตขึ้นและเรียนรู้ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดีกับเรา สิ่งไหนเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับเรา รวมทั้งสอนให้เรารู้ว่า ต่อไปเราควรจะรับมือกับปัญหาแบบนี่ยังไง

อยากประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะ “ล้มเหลว”

  • หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น คือ การตั้งคำถามที่ดีกับชีวิต Mark บอกว่า การตั้งคำถามว่าเราจะมีความสุขได้อย่างไรนั้น มันง่ายไป เราควรเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น เราสามารถทนอยู่กับความทุกข์หรืออุปสรรคแบบไหนได้มากกว่ากัน

  • คนส่วนใหญ่ฝันอยากมีชีวิตที่สุขสบาย ร่ำรวย มีคนรักที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่คนเหล่านั้น ไม่ชอบอุปสรรคระหว่างทาง ถ้าลองไปศึกษาดูชีวิตของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน จะพบว่า เค้าเหล่านั้นต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ ล้มเหลว ผิดหวังมาแล้วทั้งนั้น

  • คนส่วนใหญ่อยากได้ผลลัพธ์สวยหรูที่ปลายทาง แต่ไม่ยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเจอกับอุปสรรคหรือความเจ็บปวดระหว่างทาง

  • การที่เราเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จมากกว่าเรา เป็นไปได้(สูงมาก) ว่าเค้าคนนั้นเคยพบเจอกับความล้มเหลวมามากกว่าเรา

  • ในทางกลับกันคนที่ประสบความสำเร็จได้ไม่เท่าเรา อาจจะเพราะเค้าคนนั้นยังไม่เจอกับความผิดพลาดล้มเหลวมามากเท่าเรา

  • ดังนั้น ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในเรื่องไหน เราต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวในเรื่องนั้น ถ้าเรามัวแต่หลีกหนีความผิดพลาดในเรื่องดังกล่าว ก็ยากที่เราจะประสบความสำเร็จได้

การทำความเข้าใจความรู้สึกตัวเอง

  • Mark ชวนให้เราลองมาใส่ใจและทำความเข้าใจกับความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้น โดยเรียกขั้นตอนนี้ว่า Self-awareness onion

  • เค้าเปรียบเทียบการทำความเข้าใจความรู้สึกตัวเองกับการปอกหัวหอม ยิ่งเราปอกเข้าไปชั้นลึกมากเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสเสียน้ำตามากเท่านั้น ยิ่งเราค้นความรู้สึกของตัวเองลึกลงไปเท่าไหร่ เราก็จะเจอกับความจริงที่น่าเจ็บปวดมากขึ้นตามมา (ว่าเราเสียใจกับเรื่องเล็กน้อยๆแค่นี้เองหรอออ)

  • การเข้าใจความรู้สึกตัวเอง มีขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้น คือ

    1. ทำความเข้าใจว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไร เรากำลังโกรธ เสียใจ น้อยใจ หรือ ดีใจ

    2. ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไม” เราถึงรู้สึกเช่นนี้ การตั้งคำถาม ช่วยให้เราสามารถค้นเจอได้ว่า
    แท้ที่จริงแล้ว ต้นเหตุของปัญหาที่ว่านั้น คืออะไร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
    ได้ง่ายขึ้น

    3. หาค่านิยมของชีวิตเราให้เจอ เพราะค่านิยม จะเป็นตัวบ่งบอกว่า สิ่งไหนที่เรามองว่ามัน คือ ความสำเร็จ สิ่งไหนที่เรามองว่ามัน คือ ความล้มเหลว

  • บางคนอาจจะเคยน้อยใจว่าแฟนไม่รัก เพราะเค้าไม่เคยพูดบอกรักเลย แต่สำหรับผู้ชายบางคนนั้นการแสดงออกว่ารักของเค้า อาจจะหมายถึง การทำงานหนักเพื่อหาเงินมาดูแลเราก็ได้

  • ถ้าเราเปลี่ยนค่านิยมในเรื่องความรักใหม่ ความรู้สึกน้อยใจจะเปลี่ยนไป เป็นความเข้าใจว่าสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่นั้น เพราะเค้ารักเราด้วยการพยายามทำงานหาเงินเพื่อมาดูแลเราให้ดีที่สุด

คุณลักษณะของค่านิยมในชีวิต

  • Mark แบ่งค่านิยมออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

    1. ค่านิยมที่ดี คือ ค่านิยมที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง, เป็นประโยชน์ และที่สำคัญ คือ เราต้องสามารถควบคุมมันได้ เช่น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือ การพัฒนาตัวเอง

    2. ค่านิยมห่วยๆ (มีรูปแบบตรงข้ามกับค่านิยมที่ดี) คือ ค่านิยมที่สามารถเป็นจริงได้ยาก, ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ และ เราไม่สามารถควบคุมมันได้ เช่น ความสนุกสนาน วัตถุนิยม การที่เราต้องถูกเสมอ การเป็นที่รักจากทุกคน หรือ การพยายามคิดบวกตลอดเวลา

  • ถ้าเรามีค่านิยม ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การเป็นที่รักของทุกคน จะเห็นได้ว่า เราไม่สามารถทำให้ทุกคนบนโลกนี้รักเราได้ ค่านิยมห่วยๆ แบบนี้จะทำให้ชีวิตเราเจอกับปัญหาที่แก้ไขได้ยากและมีความสุขได้ยาก

  • ในทางกลับกัน ถ้าเรามีค่านิยมที่ดี ชีวิตเราจะเจอกับปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ชีวิตก็จะมีความสุขได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

คิดอะไรไม่ออก ให้ลงมือทำ

  • เมื่อเราเจอกับปัญหาที่ไม่รู้จะแก้ไขยังไง Mark แนะนำวิธีการง่ายๆ คือ แค่เริ่ม “ลงมือทำอะไรสักอย่าง” คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เพราะกลัวความล้มเหลว

  • การลงมือทำ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นความล้มเหลว แต่มัน คือ การล้มไปข้างหน้า ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป

  • คนส่วนใหญ่มักจะรอแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นก่อนค่อยลงมือทำ แต่สำหรับ Mark เค้ากลับมองว่า การลงมือทำอะไรสักอย่างในตอนนี้เลย ผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้เรารู้สึกอยากทำสิ่งอื่นๆต่อไป และสร้าง “แรงจูงใจ” ให้เราลงมือทำสิ่งต่างๆต่อไปอีกในอนาคต

  • เค้ายกตัวอย่าง ตอนเค้าเริ่มต้นทำกิจการของตัวเอง เค้ามีความคิดจะสร้างเว็บไซต์ ในตอนแรกเค้าก็คิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน แต่เค้าตัดสินใจที่จะ “ลงมือทำอะไรสักอย่าง” เริ่มจากออกแบบ Header ของเว็บไซต์ ทำเสร็จ ก็ไปออกแบบส่วนอื่นๆต่อ รู้ตัวอีกทีเว็บไซต์ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมามากจากตอนแรก จุดเริ่มต้นที่สำคัญของมัน ก็คือ “การเริ่มลงมือทำ” นั่นเอง

แง่คิดในเรื่องความสัมพันธ์

  • Mark แบ่งความสัมพันธ์ออกเป็น 2 ประเภท คือ ความสัมพันธ์ที่แข็งแรง กับความสัมพันธ์ที่เปราะบาง

  • สำหรับความสัมพันธ์ที่เปราะบางนั้น จะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ 2 แบบ คือ

    1. คนที่ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำ คนเหล่านี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น มักจะเรียกร้องให้คู่ของตน เข้ามาช่วยแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งสาเหตุลึกๆของการกระทำดังกล่าว เพราะเค้าเหล่านั้นต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนรัก

    2. คนที่ทำตัวเป็นผู้แก้ไขปัญหา (ของคนอื่น) คนเหล่านี้ มักจะเข้าไปช่วยคนรักแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง เพราะเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวทำให้เค้าคนสำคัญ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้คนรักได้ และได้รับความรักจากคนรักในที่สุด

  • รูปแบบความสัมพันธ์ที่เปราะบางนั้น ไม่ใช่รูปแบบความสัมพันธ์ที่ดี จะมีคนนึงที่คอยเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา หรืออีกคนนึงก็คอยเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ตลอดเวลา มันคือความสัมพันธ์ แบบที่มีเงื่อนไข เราต้องทำสิ่งนี้ให้กับคนรัก เราจึงจะได้รับความรักกับมา

  • ความรักที่ดี มันต้องเกิดจากการให้แบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง กับความสัมพันธ์ที่เปราะบางคือ การแสดง “ความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง”

  • แต่ละคนมีหน้าที่ในการจัดการกับความรู้สึกของตนเอง ความสุขหรือความทุกข์นั้น เกิดขึ้นจากตัวเราไม่ใช่จากคนอื่น ดังนั้น เราควรปล่อยให้คู่ของเรา (รวมถึงตัวเราเอง) รับผิดชอบความรู้สึกของตน

  • คนรัก มีหน้าที่คอยช่วยเติมเต็มกันในบางโอกาส เมื่อเค้าอยากจะทำ ไม่ได้เกิดจากการร้องขอของอีกฝ่าย สิ่งนี้ต่างหากที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นยาวนาน

  • ถ้าลองมานั่งพิจารณาดูดีๆ จะพบว่าจริงๆแล้ว ชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ยาวนานอะไรขนาดนั้น เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมาก ก็อีก 40-50 ปี (ถึงตอนนั้นคงแก่มากแล้วหล่ะ 555)

  • หนังสือเล่มนี้ช่วยดึงสติให้ เราหันมาค้นหาว่า อะไรคือค่านิยมที่เรายึดถือในชีวิตตอนนี้ และมันเป็นค่านิยมที่ดีรึเปล่า ถ้าไม่ใช่เราก็ควรที่จะปรับความคิด ลองเปลี่ยนค่านิยมของเราใหม่ อะไรที่มันไม่ได้สำคัญกับชีวิตเราก็ “ช่างแม่ง” ไปซะบ้าง

  • แล้วเราจะพบว่า “ความสุขในชีวิตนั้น เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่เคยเป็น”

เพื่อไม่ให้พลาดข้อมูล ข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์และกดติดตามเพจเราด้วยนะค้า