สรุป สัมมนาวิชาการ Reach New Height

เมื่อวาน มีโอกาสได้ไปงานสัมมนาวิชาการ Reach New Height ที่จัดขึ้นโดย GAMA Thailand สมาคมผู้บริหารธุรกิจประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินวันนี้เมย์จะมาแชร์ให้ทุกคนฟังว่าได้อะไรจากงานนี้บ้างค่า

ในช่วงเช้า ดร.ธนัย ชรินทร์สาร วิทยากรจากรายการ The Secret Source Podcast ช่วง Strategy Clinic และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธให้กับหลายๆองค์กรชั้นนำของประเทศไทย ได้มาพูดคุยในหัวข้อ “มุมมองที่แตกต่างในการสร้างธุรกิจ”

Key Idea ที่ได้

“ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีเงิน” พูดง่ายๆ คือ เวลาที่ลูกค้ามีปัญหา(เกิดความทุกข์ขึ้น) ถ้าเราสามารถเข้าไปช่วยเค้าแก้ไขปัญหาได้ด้วยสินค้าและบริการของเรา สิ่งนี้จะก่อให้เกิดรายได้ของธุรกิจในที่สุด ซึ่งแนวทางในการมองหาปัญหาของลูกค้านั้น สามารถทำได้ด้วยการมองให้ออกว่า

  1. กลุ่มธุรกิจไหนกำลังเติบโต เช่น สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ
  2. ลูกค้ากลุ่มไหนกำลังเติบโต เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ หรือ DINK (Double Income No Kids)
  3. ใครคือกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่ลูกค้า (non-Customer) แล้วเราสามารถเปลี่ยนให้เค้ามาเป็นลูกค้าเราได้อย่างไร ตัวอย่างง่ายๆ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป เชียงใหม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ขึ้นเครื่องบิน นั่งรถทัวร์หรือขึ้นรถไฟ บางคนเลือกที่จะขึ้นรถไฟเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า จากปัญหานี้เลยเกิดเป็น Low-Cost Airline เพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ให้สามารถเดินทางไปถึงเชียงใหม่โดยเครื่องบินด้วยด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลง เป็นการเปลี่ยนจาก non-Customer ให้มาเป็น Customer ของเรานั่นเอง
ดร.ธนัย ชรินทร์สาร (ขอบคุณรูปภาพจากFacebook Page GAMA Thailand)

ถ้าทำธุรกิจแล้วอยากเติบโตแบบยั่งยืน เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด ให้คิดแบบนักธุรกิจ ดร.ธนัยได้แนะนำหนังสือที่มีชื่อว่า Seeing the Big Picture มองภาพรวมสวมหมวก CEO โดย Kevin Cope ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจเอาไว้ว่า ถ้าจะทำธุรกิจให้ได้ดีนั้นต้องบริหาร 5 สิ่งเหล่านี้ ได้แก่ เงินสด กำไร สินทรัพย์ การเจริญเติบโตและคน

นอกจากนี้ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในธุรกิจ สิ่งสำคัญ 4 ข้อ คือ 

  1. สร้าง Trust กับลูกค้า – รักษาคำพูด พูดอะไรไว้ต้องทำให้ได้
  2. โปร่งใส ไม่ปิดบัง – เวลาจะเสนอสินค้าหรือบริการอะไรต้องนึกถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ 
  3. เป็นผู้นำทางความคิด – จะแนะนำหรือให้ความรู้อะไรกับลูกค้าได้ เราต้องเข้าใจสินค้าและบริการนั้นจริงๆ
  4. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า – เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเค้าไม่ใช่แค่เรื่องงาน เผื่อในอนาคตถ้าเค้าอยากใช้สินค้าและบริการที่เราขายอยู่ เค้าจะนึกถึงเราเป็นคนแรd

สำหรับช่วงบ่ายครึ่งแรก เป็น Session จากเหล่าผู้บริหารมือทองจากหลากหลายบริษัทประกันชีวิต ประกอบไปด้วย คุณสุรเชษฐ์ ชลตระกูล, คุณประดิษฐ์ ประเสริฐเด่นดวง, คุณปิยมล วงค์เทียนชัยและคุณพราวพิมล ภูริพงศ์ทัศน์ ที่มาร่วมตอบคำถาม Panel Discussion ในหัวข้อ The Future 4 Ways เกี่ยวกับการทำงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งความน่าสนใจของ Session นี้คือแต่ละคนมีเวลาตอบคำถามกันแค่คนละ 4 นาทีเท่านั้น (สนุก ลุ้น และตื่นเต้นกับวิทยากรไปด้วยเลยค่า 5555)

วิทยากรทั้ง 4 ท่าน (ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook Page GAMA Thailand)

Key Idea ที่ได้ 

การทำงานกับคนรุ่นใหม่นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้อง ”เข้าใจ” ความต้องการของเค้าก่อน เด็กรุ่นใหม่ ชอบการทำงานที่มีอิสระทั้งในเรื่องของเวลา รูปแบบการทำงานและสถานที่ทำงาน นอกจากนี้ยังชอบงานที่ท้าทายและให้โอกาสในการพัฒนาตัวเอง ทำให้ปัจจุบันเด็กๆกลุ่มนี้เริ่มหันมาสนใจงานที่ปรึกษาทางการเงินฝั่งประกันกันมากขึ้น เนื่องจากมีรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ในสิ่งที่เค้ามองหา

การสื่อสารกับคนรุ่นใหม่นั้นควรจะกระชับ ตรงไปตรงมา และมีความชัดเจนว่าสิ่งที่เค้ากำลังจะทำนั้น จะได้อะไรกลับมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลตอบแทนรวมถึงทักษะที่จะได้เรียนรู้เพื่อนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจของตัวเอง

คุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO และผู้ก่อตั้ง บมจ. MFEC (ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook Page GAMA Thailand)

และสำหรับ Session สุดท้ายพบกับวิทยากรคุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร นักธุรกิจหมื่นล้านซึ่งเป็น CEO และผู้ก่อตั้ง บมจ. MFEC ที่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลังจากเริ่มต้นทำธุรกิจได้ภายใน 5 ปีมาพูดคุยในหัวข้อ “ทักษะผู้นำ…ศาสตร์แห่งการหยั่งรู้คน”

Key Idea ที่ได้

คุณเล้งได้แนะนำหนังสือที่น่าสนใจ คือ Thinking Fast and Slow ของ Daniel Kahneman (เล่มนี้ท่านผู้ว่าชัชชาติก็แนะนำให้อ่านเหมือนกันค่ะ) เป็นหนังสือที่อธิบายถึงการทำงานของสมองซึ่งประกอบไปด้วย 2 ระบบ คือ System 1 กับ System 2

อธิบายง่ายๆ System 1 คือ การคิดหรือตัดสินใจแบบเร็วๆ โดยอาศัยความคุ้นชิน(Auto-pilot) เช่น การแปรงฟันในตอนเช้า, การขับรถไปทำงานในเส้นทางเดิมๆ ส่วน System 2 คือ การคิดที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ มักใช้กับกับการตัดสินใจเรื่องที่สำคัญ 

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะคุ้นชินกับการทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน (multi-Tasking) ซึ่งเป็นการทำงานของสมองที่เป็น System 1 หากเราอยากเปิด System 2 ให้ได้นั้น เราต้องหยุดและตั้งใจรับรู้ข้อมูลตรงหน้าเพียงเรื่องเดียว 

ข้อดีของการตั้งใจฟังนั้น จะช่วยให้เราได้ข้อมูล(Data) มากกว่าการฟังแบบผ่านๆ ทำให้เราสามารถแยกออกได้ว่าสิ่งไหนเป็นข้อมูลที่แท้จริง(Fact) และสิ่งไหนเป็นเรื่องของอารมณ์หรือความคิดเห็น(Opinion) ซึ่งจะช่วยทำให้เราเข้าใจผู้พูด(ลูกค้า)ได้ดีขึ้น การเข้าใจลูกค้ามากขึ้นก็จะช่วยทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาเค้าเหล่านั้นได้ตรงจุดนั่นเอง

นอกจากนี้การใช้ System 2 ยังช่วยให้เรามองคนออกจากการตั้งใจฟังและสังเกตคู่สนทนา ช่วยให้เราสามารถเลือกคนที่ใช่เข้ามาทำงานกับองค์กรได้ดียิ่งขึ้น เพราะบางครั้งถ้าเราเลือกคนที่ผิดมาอาจส่งผลเสียกับองค์กรมากกว่าผลดี

พิธีกรได้ถามหนึ่งคำถามที่น่าสนใจกับคุณเล้ง นั่นก็คือ“ถ้าให้พัฒนาตัวเองได้แค่เรื่องเดียว จะพัฒนาอะไร” คำตอบที่ได้ คือ การมีเสน่ห์ในการดึงดูดคน(Charisma) เสน่ห์ ในที่นี้หมายถึง ความสามารถในการซื้อใจผู้อื่น เพราะความสำเร็จของคนคนหนึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เค้าอยู่ประมาณ 70% ต่อให้เราอยู่ในกลุ่มที่ดี แต่ไม่มีใครรักเราเลย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็เกิดขึ้นได้ยากกว่าคนที่เป็นที่รักของผู้อื่น ซึ่งเทคนิคในการเพิ่มเสน่ห์ทำได้ง่ายๆด้วยกัน 3 ข้อ คือ

  1. เห็น Ego ตัวเองให้ได้ – เช็คการสื่อสารของตัวเองกับผู้อื่นว่าเราเผลอใช้คำพูดที่โชว์เหนือ ทำให้เค้าดูด้อยกว่าเราหรือไม่
  2. ดับ Ego ตัวเองให้ได้ – ถ้าลดได้ จะทำให้คนรอบข้าง กล้าเปิดใจพูดคุยกับเรามากยิ่งขึ้น
  3. คอนเนค Ego คนอื่นให้ได้ – ชื่นชมคู่สนทนาอย่างจริงใจ, Feed Ego ให้กับเค้าแทน

Ego เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสอน ในวันที่เราประสบความสำเร็จมันจะมาเอง ดังนั้น ในยุคหนึ่งของประเทศจีนจึงมีคำสอนที่ว่า ให้เราเป็นคน “อ่อนน้อมถ่อมตน” เพราะเมื่อเราประสบความสำเร็จและเกิด Ego ขึ้นมา สองสิ่งนี้จะสมดุลกันพอดี 

เพราะสมองมนุษย์เรานั้นขี้เกียจ หลายๆครั้งมักคิดและตัดสินใจด้วย System 1 เพราะมันง่ายและเร็ว แต่เราสามารถฝึกเปิด System 2 ได้ซึ่งหนึ่งในวิธีการฝึก คือการนั่งสมาธิที่จะช่วยให้เรามีสติ และสามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆได้ละเอียดมากขึ้นและเมื่อ System 2 ถูกเปิด ปัญญาก็จะเกิดตามมาค่ะ 

สุดท้ายนี้ การบริหารคนหมู่มากนั้น เราจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญว่าเรื่องไหนและบุคคลกลุ่มใดที่จะใช้โหมด System 2 เราไม่สามารถใช้โหมดนี้กับทุกคน ทุกสถานการณ์ ไม่อย่างนั้นอาจจะหมดพลังงาน จนไม่สามารถเอาไปใช้ในการตัดสินใจเรื่องที่สำคัญๆได้

ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ได้จากงานสัมมนาเมื่อวานนี้ สำหรับใครที่อยากเรียนรู้จากคนสำเร็จแบบเต็มๆก็สามารถตามไปเรียนรู้ต่อได้ที่ Cariber นะค้า

ใครที่ชื่นชอบสรุปแบบนี้และคิดว่าเป็นประโยชน์อย่าลืมแชร์ไปให้เพื่อนๆอ่านด้วยนะคะ